Cryptorchidism = ภาวะอัณฑะไม่ลงถุงอัณฑะตามปกติ
พบได้บ่อยในสุนัข และพบในแมวเช่นกัน เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่ควรผ่าตัดแก้ไข ไม่ควรปล่อยไว้
🧩 มีกี่แบบ? ตำแหน่งอัณฑะค้างอยู่ตรงไหนได้บ้าง
ภาวะนี้แบ่งตาม “ตำแหน่งที่อัณฑะค้าง” ได้ 3 ตำแหน่งหลัก ๆ
1) Abdominal cryptorchidism
อัณฑะค้างอยู่ในช่องท้อง ไม่สามารถคลำเจอ
→ มักต้องใช้อัลตราซาวด์ช่วยค้นหาตำแหน่งก่อนผ่าตัด
→ มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงที่สุด เพราะอัณฑะอยู่ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม
2) Inguinal cryptorchidism
อัณฑะค้างอยู่บริเวณขาหนีบ
→ มักคลำเจอเป็นก้อนนุ่ม ๆ ใต้ผิวหนัง
→ ผ่าตัดเปิดขาหนีบเพื่อนำออก
3) Prescrotal cryptorchidism
อัณฑะค้างอยู่ “ก่อนถึงถุงอัณฑะ” ตรงแนว midline หน้าถุง
→ คลำเจอง่าย แต่ไม่ลงสู่ถุงตามปกติ
→ ผ่าตัดตำแหน่งด้านหน้า scrotum
🎯 สาเหตุที่ทำให้อัณฑะไม่ลงถุง
• พันธุกรรม (สำคัญที่สุด)
• ความผิดปกติของ gubernaculum / ช่องผ่านอัณฑะ
• ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการเคลื่อนตัวผิดสมดุล
• พบร่วมกับความผิดปกติแต่กำเนิดอื่นได้ในบางราย
⚠️ ถ้าไม่รักษา จะเกิดอะไรได้บ้าง?
• เสี่ยง มะเร็งอัณฑะ (sertoli cell tumor / seminoma)
• บิดอัณฑะ (torsion) → ปวดท้องเฉียบพลัน
• พฤติกรรมเสี่ยงจากฮอร์โมนเพศชาย
• ถูกจัดว่าเป็น “ข้อบกพร่องทางพันธุกรรม” → ไม่ควรนำไปผสมพันธุ์
📌 ตัวอย่างเคสจริง: “น้องซูโม่”
วินิจฉัย: Right unilateral inguinal cryptorchidism = อัณฑะขวาค้างที่ขาหนีบ
🔍 ก่อนผ่าตัด
• ทำ Ultrasound เพื่อยืนยันตำแหน่งอัณฑะ
• ตรวจเลือด ประเมินก่อนวางยาสลบ
🔪 การผ่าตัด ทำตามหลักมาตรฐาน 2 ขั้นตอน
1. Right cryptorchidectomy
• เปิดแผลบริเวณขาหนีบ นำอัณฑะที่ค้างออก
2. Left castration
• ทำหมันอีกข้างควบคู่กัน เพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมและมะเร็งในอนาคต
• เหตุผล: สัตว์ที่เป็น cryptorchid ไม่ควรคงความสามารถในการสืบพันธุ์
🩹 หลังผ่าตัด
– ให้ยาแก้ปวด–ยาปฏิชีวนะ
– ใส่ปลอกกันเลียตลอด 10–14 วัน
– ทำแผลตามคำแนะนำ
– ติดตาม 10 วันเพื่อดูแผล / ตัดไหม
ผลติดตาม: แผลแห้งดี ไม่มีติดเชื้อ และกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
🐾 คำแนะนำ
– ถ้าคลำถุงอัณฑะแล้วว่าง → ควรรีบตรวจ
– ยิ่งผ่าเร็ว ความเสี่ยงมะเร็งยิ่งลด
– ไม่ควรใช้เป็นพ่อพันธุ์
– ไม่ใช้วิธีพื้นบ้าน นวด กดดัน หรือกลึงให้ลง → อันตราย
– ผ่าตัดเป็นทางเดียวที่รักษาได้จริง
ผ่าตัด: สพ.ญ.ณัฏฏ์ธวรรณ โสภิพันธ์ (หมอพลอย)
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
หมวดหมู่: โชว์หน้าเวป
ภาวะกระดูกอ่อนหนังตาที่สามพลิกออก (T-cartilaginous eversion) ในแมว
ภาวะที่พบไม่บ่อยในแมว แต่สร้างความระคายเคืองและบดบังการมองเห็นได้มาก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
หนังตาที่สามพลิกออกคืออะไร?
หนังตาที่สามของแมวมี “กระดูกอ่อนรูปตัว T” ที่ช่วยค้ำโครงสร้างและปกป้องดวงตา เมื่อกระดูกอ่อนชิ้นนี้ บิดหรือพลิกออกด้านนอก จะเห็นเป็นก้อนสีชมพูโผล่ออกมุมตา ทำให้น้องแมวรู้สึกระคายเคืองและหรี่ตา
—————————————————–
อาการในเคสนี้ จากการตรวจพบว่า
• หนังตาที่สามพลิกออกอย่างชัดเจน
• เยื่อบุตาบวมแดง และน้ำตาไหลมาก
• น้องแมวมีอาการหรี่ตาและไม่สบายตา
ภาวะนี้ไม่สามารถดันกลับได้ด้วยมือ (manual reposition) ในหลายเคส เพราะกระดูกอ่อนบิดผิดรูปไปแล้ว
การตรวจและการประเมิน
– คุณหมอทำการตรวจตาโดยรวม และย้อมสีเพื่อตรวจหาแผลที่กระจกตา → ไม่พบแผล
– สรุปปัญหาเกิดจากการบิดตัวของกระดูกอ่อนหนังตาที่สามโดยตรง
การรักษา: ผ่าตัดแก้ไขเท่านั้น
แนวทางรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการ
• ตัดแต่งกระดูกอ่อนที่บิดผิดรูป
• จัดตำแหน่งหนังตาที่สามให้กลับเข้าที่
หลังผ่าตัดและสังเกตอาการต่อเนื่อง
• ดวงตากลับมามองเห็นชัดเจน
• อาการบวมแดงลดลง
• ลดการระคายเคืองและการหรี่ตาอย่างเห็นได้ชัด
ผลการรักษาในเคสนี้
ก่อนผ่าตัด: หนังตาที่สามยื่นออกมาชัดเจน รบกวนการมองเห็น
หลังผ่าตัด: หนังตากลับเข้าที่ ตาเปิดได้ปกติ
(หลังผ่าตัดให้เจ้าของหยอดตาและใส่ E-collar เพื่อกันน้องแมวเกาตา)
—————————————————–
คำแนะนำสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
• ภาวะนี้ไม่หายเอง และมักไม่ตอบสนองต่อการดันกลับ
• ไม่ใช่โรคติดเชื้อ แต่เป็นความผิดปกติของกระดูกอ่อน
• ควรรักษาเร็วเพื่อลดความไม่สบายตาและป้องกันการเกิดอักเสบเรื้อรัง
• การผ่าตัดให้ผลดีและช่วยฟื้นฟูการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
ผ่าตัด: สพ.ญ.ณัฏฏ์ธวรรณ โสภิพันธ์ (หมอพลอย)
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
ฉมวกแทงทะลุทรวงอก ต้องผ่าตัดด่วนและดูแลแบบนาทีต่อนาที
เคส: Penetrating Thoracic Injury ในสุนัข
เมื่อเจ้าของพาน้องนวลมาที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่เห็นคือบาดแผลจาก ฉมวก ยาวทิ่มทะลุเข้าอกด้านขวาและปลายโผล่ไปทางซ้าย — เป็นลักษณะของ penetrating chest trauma ที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินขั้นสูงสุด ต้องประเมินและผ่าตัดทันที
การประเมินเบื้องต้น: ทุกวินาทีมีค่า
ทีมสัตวแพทย์ทำการ
• ตรวจสัญญาณชีพ
• ประเมินการหายใจ
• ทำ X-ray ทรวงอก ซึ่งพบว่า วัตถุแทงผ่านปอดจากขวาไปซ้าย และมี แง่งของฉมวก ที่อาจฉีกขาดเนื้อเยื่อระหว่างดึงออกได้
นี่คือสาเหตุที่ “ห้ามดึงออกเอง” โดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกในช่องอกเฉียบพลันจนเสียชีวิตได้
—————————————————–
การผ่าตัด: ต้องละเอียดและระมัดระวังที่สุด
ในการผ่าตัด ทีมศัลยแพทย์ต้อง
• เปิดช่องอกเพื่อเข้าถึงตำแหน่งฉมวก
• ค่อย ๆ ปลดแง่ง (barbs) ทีละส่วน เพื่อไม่ให้ฉีกปอดหรือหลอดเลือดเพิ่ม
• ตรวจหาความเสียหายของปอด เยื่อหุ้มปอด และเส้นเลือดรอบ ๆ
• ทำการล้างช่องอกเพื่อลดการปนเปื้อน
หลังนำฉมวกออกแล้ว จะมีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายและหยุดเลือด
หลังผ่าตัด: การดูแลที่เข้มข้นแบบ 24 ชั่วโมง
เนื่องจากเป็นแผลแทงทะลุช่องอก จึงต้องมีการดูแลใกล้ชิดที่สุด ได้แก่
1. ใส่ Chest Drain (สายระบายทรวงอก)
• ดูดลมที่รั่วออกจากปอด
• ระบายของเหลวหรือหนองที่ต้องเกิดขึ้นตามกลไกการอักเสบหลังการผ่าตัด
2. เฝ้าดูการหายใจทุกชั่วโมง โดยประเมิน
• อัตราหายใจ
• เสียงหายใจ
• การขยายตัวของทรวงอก
•ค่าออกซิเจนในเลือด
3. ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น
• ปอดแฟบ (atelectasis)
• Pneumothorax
• Hemothorax
• การติดเชื้อในช่องอก
•ปอดอักเสบหลังการผ่าตัด
น้องนวลต้องได้รัยาฆ่าเชื้อจุลชีพ ยาแก้ปวด ลดอักเสบ และ สารน้ำ ควบคู่กับการพักรักษาแบบแอดมิทจนสัญญาณชีพคงที่ปลอดภัย
—————————————————–
ข้อควรรู้สำหรับเจ้าของเมื่อเจอ “แผลแทงทะลุทรวงอก”
• ห้ามดึงวัตถุออกเองเด็ดขาด
• ห้ามกดและห้ามล้าง
• รีบนำส่งโรงพยาบาลสัตว์ทันที
• ให้สังเกตอาการหายใจลำบาก เขียว ซึม อย่างใกล้ชิดระหว่างเดินทาง
• หากมีเลือดออกมาก ให้กดรอบ ๆ บาดแผล (ไม่กดบนวัตถุที่ทิ่มอยู่)
ผ่าตัด: น.สพ.ธนา ศรีสองเมือง (หมอโน๊ต)
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
น้องมะม่วงกินสิ่งแปลกปลอม — เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต!
หนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อยในสุนัข คือ การกินสิ่งแปลกปลอม (Foreign body ingestion) ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ฝาขวด เข็ม ด้าย หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่มีกลิ่นน่าสนใจสำหรับน้องหมา
สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เมื่อกลืนเข้าไป อาจติดค้างในหลอดอาหาร กระเพาะ หรือแม้แต่ลำไส้ ทำให้เกิดอาการอาเจียน เบื่ออาหาร ท้องอืด หรืออาจทะลุลำไส้จนติดเชื้อในช่องท้องได้
—————————————————–
เคสน้องมะม่วง
เจ้าของแจ้งว่าน้องมะม่วงน่าจะ “กลืนเข็มเข้าไป” ทีมสัตวแพทย์จึงเอ็กซเรย์พบเข็มในกระเพาะและทำการส่องกล้อง (Endoscopy) ตรวจดู พบว่าสิ่งที่อยู่ในกระเพาะคือ
ฝาขวดพลาสติกขนาดใหญ่
เชือก
เข็มเย็บผ้าและด้าย
สิ่งของบางชิ้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะคีบออกด้วยกล้องได้ จึงจำเป็นต้องทำการ ผ่าตัดเปิดกระเพาะ (Gastrotomy) เพื่อนำออกอย่างปลอดภัย
—————————————————–
ทำไมต้องส่องกล้องก่อนผ่าตัด?
การส่องกล้องช่วยให้สัตวแพทย์มองเห็นสิ่งแปลกปลอมภายในทางเดินอาหารโดยไม่ต้องเปิดช่องท้องก่อน ซึ่งในบางกรณีสามารถคีบออกได้เลยโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าสิ่งนั้นมีขนาดใหญ่ คม หรืออยู่ในตำแหน่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของอวัยวะ เช่น กรณีน้องมะม่วง ทีมแพทย์จะเลือกวิธีผ่าตัดที่ ปลอดภัยที่สุดสำหรับสัตว์ ![]()
การดูแลหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัด ทีมสัตวแพทย์จะดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือแผลรั่ว
งดอาหารและน้ำตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
ให้ยาฆ่าเชื้อและยาแก้ปวดต่อเนื่อง
ค่อย ๆ ปรับอาหารเป็นอาหารย่อยง่าย
สังเกตอาการอาเจียนหรือซึม หากพบให้รีบกลับมาพบสัตวแพทย์ทันที
ข้อควรระวังสำหรับเจ้าของ
• เก็บของชิ้นเล็กหรือแหลมคมให้พ้นมือสัตว์เลี้ยง
• ไม่ปล่อยให้น้องเล่นของที่สามารถหลุดหรือกลืนได้
• หากสงสัยว่าน้องกลืนสิ่งแปลกปลอม อย่าพยายามทำให้อาเจียนเอง ควรรีบนำมาพบสัตวแพทย์เพื่อเอกซเรย์หรือส่องกล้องทันที
ส่องกล้อง/ผ่าตัด: สพ.ญ.ณัฐฐ์ธวรรณ โสภิพันธ์ (หมอพลอย)
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
ทำไมต้องฝังไมโครชิปให้สัตว์เลี้ยง? ไม่ได้แค่ไว้ “หรูดูดี” แต่คือเรื่องของความปลอดภัยและกฎหมาย!
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า… ตอนนี้ในประเทศไทย การฝังไมโครชิปในสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขและแมว ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งในด้าน
การระบุตัวตน
การป้องกันการสูญหาย
และการเป็นหลักฐานทางกฎหมาย
ไมโครชิปคืออะไร?
– ไมโครชิปเป็น ชิปขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าว บรรจุรหัสเฉพาะ 15 หลัก ไม่สามารถลบหรือซ้ำได้ ฝังไว้ใต้ผิวหนังบริเวณ ระหว่างสะบัก (ข้างหลังคอ) ของสุนัขหรือแมว
– ไม่มีแบตเตอรี่
ไม่ส่งคลื่นไฟฟ้าออกมา
อ่านข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่ใช้ เครื่องสแกน (scanner) เท่านั้น
ในประเทศไทย ฝังไมโครชิปไว้มีประโยชน์อะไรบ้าง?
1. พิสูจน์ตัวตนสัตว์เลี้ยงได้แน่นอน เมื่อสัตว์หายหรือถูกขโมย สามารถสแกนชิปเพื่อระบุตัวตนและเจ้าของได้ทันที
2. จำเป็นสำหรับการทำทะเบียน / เดินทาง / เพาะพันธุ์ / ส่งออก กรมปศุสัตว์ใช้หมายเลขไมโครชิปเป็น “รหัสประจำตัวสัตว์” ที่ผูกกับฐานข้อมูล เช่น การทำ Pet Passport, การส่งออก, การย้ายถิ่น, หรือขอใบรับรองสุขภาพ (Health Certificate)
3. ใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย หากเกิดกรณีพิพาท เช่น ทรัพย์สินหาย หรือการขโมยสัตว์ ไมโครชิปสามารถใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของได้
4. ปลอดภัย ไม่เจ็บมาก และอยู่ได้ตลอดชีวิต ฝังเพียงครั้งเดียวโดยสัตวแพทย์ ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ไม่ต้องดมยาสลบ และไม่ต้องดูแลพิเศษหลังทำ
สพ.ฝัง: สพ.ญ.ณัฏฏ์ธวรรณ โสภิพันธ์ (หมอพลอย)
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
Superficial Corneal Ulcer ในสุนัขคืออะไร?
“แผลหลุมกระจกตาตื้น” หรือ Superficial corneal ulcer คือ ภาวะที่ผิวกระจกตาชั้นนอกสุด (epithelium) เกิดการถลอกหรือเป็นแผล ซึ่งกระจกตาคือส่วนใส ๆ ด้านหน้าของลูกตา ถ้ามีแผลจะทำให้สุนัข เคืองตา ปวดตา กระพริบตาบ่อย และน้ำตาไหลมาก
สาเหตุที่พบบ่อย
•ถูกเล็บ ขน หรือสิ่งแปลกปลอม ขีดข่วนตา
• การ เกา หรือถูตาแรง ๆ จากอาการคัน
• ขนตาขึ้นผิดทิศ ทำให้ขนถูตา
• สารเคมีหรือน้ำยาทำความสะอาดเข้าตา
• ภาวะ ตาแห้ง (Keratoconjunctivitis sicca)
• การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสร่วม
คุณหมอจะทำการตรวจตาอย่างละเอียด โดยเฉพาะ
1. ย้อมตาด้วยสี fluorescein stain – ถ้ามีแผล สีจะติดเป็นจุดหรือรอยบนกระจกตา
2. ตรวจด้วยไฟส่องตา (slit lamp / ophthalmoscope) เพื่อดูความลึกของแผล
3. ตรวจ tear test (Schirmer tear test) เพื่อดูว่ามีตาแห้งหรือไม่
4. ตรวจหาขนหรือสิ่งแปลกปลอม บริเวณขอบตาและหนังตาที่สาม
การรักษา
1. หยอดยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
2. ใช้ยาลดปวดตา เพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อตาและความเจ็บ
3. ในบางรายที่แผลไม่หาย อาจต้อง ขูดแผล (debridement) หรือทำ grid keratotomy / contact lens ปิดแผล โดยสัตวแพทย์
4. ใส่ ปลอกคอกันเลีย ป้องกันสุนัขเกาหรือถูตา
โดยปกติแผลตื้นจะหายภายใน 5–7 วัน ถ้ารักษาเร็วและไม่ติดเชื้อ
การป้องกัน
• หลีกเลี่ยงให้สุนัขกัดกันแรง ๆ
• ตรวจเช็กและ ตัดขนรอบตาให้สั้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะพันธุ์หน้าสั้น (ปั๊ก, ชิสุ, ปอมฯ)
• อย่าใช้ สำลีหรือทิชชูเช็ดตาแรง ๆ
• หากมี น้ำตาไหล เคืองตา หรือหรี่ตา ให้รีบพามาตรวจโดยสัตวแพทย์ เพราะแผลลึกสามารถทำให้ตาบอดได้
วินิจฉัยและเรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
รู้จัก “เชื้อราผิวหนังในสุนัข” หรือ Dermatophytosis กันไหม?
โรคนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุยอดฮิตของอาการ ขนร่วงเป็นวง ๆ คัน หรือมีสะเก็ดตามตัว โดยเฉพาะในลูกสุนัข หรือสุนัขที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอครับ
เชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ Microsporum canis ซึ่งสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้ (เรียกว่าโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน – Zoonosis) ดังนั้นคนในบ้าน โดยเฉพาะเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ ก็ควรระวังเช่นกัน
อาการที่พบบ่อย
• ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ ขอบชัด
• ผิวหนังแดง คัน มีสะเก็ดหรือขุย
• ในบางรายอาจไม่มีอาการคันเลย แต่เชื้อยังอยู่และแพร่ต่อได้
• สามารถติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
การวินิจฉัย
สัตวแพทย์จะใช้การตรวจด้วยแสง Wood’s lamp, การส่องกล้องจุลทรรศน์ หรือเพาะเชื้อรา เพื่อยืนยันชนิดของเชื้อก่อนเริ่มการรักษา
การรักษา
• ใช้ยาทาฆ่าเชื้อราเฉพาะที่ (เช่น แชมพูหรือครีมที่มี miconazole, ketoconazole หรือ lime sulfur dip)
• ร่วมกับยากินในบางกรณีที่รอยโรคกว้างหรือดื้อยา
• ควรทำความสะอาดบริเวณที่สุนัขอยู่ เช่น ผ้าปู ที่นอน พื้นบ้าน หรือกรง อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการติดซ้ำ
สิ่งที่ไม่ควรทำ
• อย่าทายาฆ่าเชื้อราของคนให้สัตว์เอง
• อย่าคิดว่า “หายแล้ว” จากตาเปล่า เพราะเชื้อยังคงอยู่ได้หลายสัปดาห์
เชื้อราผิวหนังในสุนัขไม่ใช่เรื่องเล็ก และสามารถติดต่อสู่คนได้ แต่ถ้ารักษาถูกวิธีและดูแลสิ่งแวดล้อมดี โรคนี้สามารถหายขาดได้ครับ ![]()
วินิจฉัยและเรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
วันนี้มาเติมแมวกันเถอะ
เมื่อวานมาแบ่งรูปน้องหมาแล้ว วันนี้เลยพาน้องแมวมาให้คุณพ่อคุณแม่เอ็นดูกันครับ เช่นเดียวกันในน้องแมวก็อย่าลืมตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ป้องกันพยาธิ-ปรสิต รวมถึงหมั่นสังเกตอาการผิดปกตินะครับ
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
ใครเป็นทาสน้องหมา มาทางนี้เลย!
น้อง ๆ แต่ละพันธุ์มีความน่ารักไม่เหมือนกัน แต่ก็มี “โรคประจำพันธุ์” ที่ควรระวังแตกต่างกันไป เช่น พันธุ์เล็กมักมีปัญหาหัวใจหรือฟัน ส่วนพันธุ์ใหญ่ก็มักเจอเรื่องข้อสะโพกหรือโรคทางกระดูกครับ ![]()
อย่าลืมพาน้อง ๆ มาตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจเลือด ตรวจฟัน ตรวจหัวใจ เพื่อให้แน่ใจว่าน้องยังแข็งแรงดี
และที่สำคัญ — อย่าขาดวัคซีน! ทั้งวัคซีนพิษสุนัขบ้า ไข้หัด ลำไส้อักเสบ และวัคซีนเสริมอื่น ๆ ตามคำแนะนำของคุณหมอ ![]()
การดูแลให้ครบตั้งแต่สุขภาพกายจนถึงใจ จะทำให้น้องอยู่กับเราไปได้นาน ๆ เลยนะครับ ![]()
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)
เบาหวาน…โรคที่สุนัขและแมวก็เป็นได้
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในคนเท่านั้นนะครับ สุนัขและแมวก็สามารถเป็นได้เช่นกัน โดยเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน อินซูลิน (Insulin) ที่ผลิตจากตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล เมื่ออินซูลินผลิตได้น้อย หรือร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นจนเกิดเป็น “โรคเบาหวาน”
—————————————————–
อาการที่ควรสังเกต
• ดื่มน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย
• กินเก่งแต่ผอมลง
• ขนร่วง ผิวหนังไม่เงา
• ซึม อ่อนแรง เดินเซ
• ตาฝ้าขาว โดยเฉพาะในสุนัข
• แมวบางตัวอาจมี “เดินปลายเท้าแบน” (neuropathy)
หากพบอาการเหล่านี้ ควรพาไปตรวจเลือดและปัสสาวะกับสัตวแพทย์ เพื่อยืนยันระดับน้ำตาลและประเมินการทำงานของอวัยวะอื่นร่วมด้วย
การรักษา
โรคเบาหวานจำเป็นต้องได้รับการดูแลระยะยาว การรักษาประกอบด้วย
• การฉีดอินซูลินเป็นประจำ (ตามชนิดและขนาดที่สัตวแพทย์กำหนด)
• การควบคุมอาหาร สูตรเฉพาะสำหรับสัตว์เบาหวาน
• การตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดและปัสสาวะ
• การดูแลน้ำหนักตัวและการออกกำลังกายให้เหมาะสม
ห้ามหยุดยา หรือปรับอินซูลินเองโดยไม่ปรึกษาสัตวแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรงได้
โรคร่วมที่มักพบในสัตว์เบาหวาน (Concurrent diseases)
โรคเบาหวานในสัตว์เลี้ยงมักไม่ได้เกิดขึ้นลำพังครับ สัตวแพทย์มักตรวจพบโรคอื่นร่วมด้วย เช่น
• โรคตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)
• การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)
• โรคต่อมหมวกไต (Cushing’s disease)
• ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia)
• ภาวะอ้วน หรือในแมวอาจพบ โรคไทรอยด์เกิน (Hyperthyroidism) ร่วมด้วย
โรคเหล่านี้อาจทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้น จึงต้องตรวจและรักษาร่วมกันอย่างใกล้ชิดครับ
—————————————————–
การป้องกัน
• ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน
• ให้อาหารคุณภาพดี เหมาะกับช่วงวัย
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะสัตว์อายุเกิน 6 ปี
เบาหวานไม่ใช่โรคร้าย หากรู้ทันและดูแลถูกทาง การสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในพฤติกรรมของน้องหมาแมวคือกุญแจสำคัญในการยืดอายุและคุณภาพชีวิตของเขาครับ ![]()
![]()
วินิจฉัยและรักษา: น.สพ.ธีรยุทธ์ ปัญญาตุ้ย (หมอท็อป)
เรียบเรียง: น.สพ.นรภัทร โสภิพันธ์ (หมอพีท)





























